The never ending story of true friendship

Monday, December 18, 2006

๔. เก็บงำในใจ

แสงระเรื่อของไฟสีส้มเย็นตา อาบทาไปบนภาพวาดที่ติดไว้บนฝาผนังอย่างเป็นระเบียบ เงามืดที่สลับคั่นแต่ละภาพ พร้อมกับหลืบชั้นของผนังกั้น สร้างบรรยากาศอันผ่อนคลายไปพร้อมกับความศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ต่างกัน ช่างสมกับเป็นงานแสดงภาพของศิลปินอย่างจินตา ที่ต้องการสื่อให้สังคมรับรู้ถึงความหมายของ Spiritual Hub อันเป็นพื้นที่สร้างความดีร่วมกัน

ย่ำเย็นแล้ว งานแสดงภาพกำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดีอีกวันหนึ่ง ผู้คน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบาสุภาพค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากบรรยากาศของห้องแสดงภาพ หลงเหลือไว้แต่เพียงเงาร่างเพรียวบางของหญิงผู้หนึ่งที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ เบื้องหน้าของเธอคือภาพชาย-หญิงที่แสดงความรักให้แก่กันอย่างอบอุ่น นิมปล่อยสายตาอย่างหลุดลอยไปกับภาพชาย-หญิงคู่นั้น

นิมตั้งใจเลือกช่วงเวลานี้ เดินดูงานของจินตา เพราะว่ามันเป็นช่วงที่ผู้คนต่างกลับกันหมดแล้ว มันเป็นเวลาที่ทำให้เธอได้อยู่กับภาพแต่ละภาพโดยไม่ต้องคำนึงถึงใครๆ บางทีนิมก็รู้สึกว่า เธอน่าจะมีเวลานี้ของเธอบ้าง เวลาที่ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดได้หลั่งไหลออกมาจากที่ซ่อนงำภายในใจ

ภาพชาย-หญิงคู่นั้นติดป้ายชื่อว่า “อุ่นรักตระหนักรู้” ดูเหมือนว่าชื่อของภาพไม่สามารถถ่ายทอดความหมายของมันได้ดั่งเจตนาของผู้วาด น้ำตาแห่งความคำนึงถึงรินหลั่งออกมาแทนความหมายทั้งหมดภายในของนิม ภาพที่ช่างแสนงามแต่กลับเป็นไปไม่ได้

“นิมยังไม่กลับบ้านอีกหรอ”

เสียงของคนที่นิมคุ้นเคยแหวกออกมาจากความเงียบ ทะลุผ่านความเศร้า

“อ้าว จินตา” นิมรีบเช็ดน้ำตาเพื่อไม่ให้เสียงนั้น ได้รับรู้ถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ

“ยังจ๊ะ กะว่าจะดูงานของจินตาอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับจ๊ะ”

แม้ว่านิมจะกลบเกลื่อนคราบน้ำตา แต่จินตาก็รู้สึกได้ในทันทีถึงความเชื่อมโยงระหว่างนิมกับภาพชิ้นนี้ของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะช่วยรองรับความรู้สึกอันโศกเศร้านี้ได้อย่างไร เขารู้แต่เพียงว่าบทสนทนาอะไรก็ได้กระมังที่พานิมออกจากความเสียใจจากงานแต่งที่ล่มลงอย่างไม่มีใครคาดคิด

“ช่วงนี้งานของ Spiritual hub มันยุ่งนะ ทำให้แต่ละคนดูเหนื่อยทั้งนั้นเลย” จินตาเอ่ยแทรกผ่านความโศกเศร้าที่ยังคงหลงค้างอยู่ในบรรยากาศ

“ใช่ แล้วจินตาล่ะ ช่วงนี้งานเยอะมั๊ย”

“ก็ช่วงทำห้องแสดงภาพ ผมก็ทุ่มเทกับมันมากๆเลยนะ ตั้งใจเพื่อที่ว่ามันจะได้เป็นผลงานที่ได้แสดงถึงสิ่งที่พวกเราได้ร่วมทำกันมา ผมก็ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ เนี่ย ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย มาดูนาฬิกาอีกทีมันก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มนึงแล้ว ผมนึกว่าผมจะเดินดูความเรียบร้อยอีกสักนิดนึง แล้วก็ค่อยจะไปกินข้าว แต่ก็เห็นนิมอยู่ตรงนี้ก็เลยเดินเข้ามาทัก”

“จินตายังไม่ได้กินข้าวหรอ ถ้างั้นจินตาก็ไปกินข้าวก่อนดีกว่า นิมว่านิมจะขอตัวกลับก่อน อยากจะบอกกับจินตานะว่า งานที่ทำมามันคุ้มเหนื่อยมากเลย เป็นงานที่ดี และก็เป็นภาพที่มีความหมายให้อะไรกับคนที่มาดูได้เยอะเลย เราจะเป็นกำลังใจให้จินตาได้ทำงานต่อไปนะ ค่ำนี้นิมมีธุระจะต้องไปทำต่อ ถ้ามีอะไรก็โทรมาคุยกันได้นะ นิมขอตัวก่อนนะจินตา”

อันที่จริงเธออยากชวนคุยมากกว่านี้ เสียงของคำถามมากมายเกี่ยวกับความสุขทุกข์ของจินตา ความโดดเดี่ยวของจินตา ความสำเร็จของจินตา แต่ขณะนี้เธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจากจินตา

“เออ... ครับ” จินตาได้แต่ตอบรับการขอตัวกลับของนิมอย่างรวดเร็ว

ความเงียบปกคลุมบรรยากาศไปทั่ว นิมเดินจากไป จินตายังคงยืนมองที่ภาพวาด “อุ่นรักตระหนักรู้” ของเขา แม้ว่าคำชมเล็กๆน้อยๆของนิมจะทำให้เขาปลื้มปีติ แต่เขากลับผิดหวังตัวเองที่ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนกับความรู้สึกอันโศกเศร้าของนิมได้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรทำตัวอย่างไรในเหตุการณ์นี้ ดูเหมือนว่าความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของเขาจะช่วยอะไรไม่ได้เสียเลย การหลบลี้ไปเพื่อค้นหาตัวตนภายใน อาจนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งการตื่นรู้แก่ตัวเขา แต่แสงสว่างนี้ไม่อาจทอดยาวสู่ใจคนอื่นได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใจของเพื่อนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าในเงาใจ

Sunday, October 08, 2006

๓: แสงแห่งความหวัง

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ สายลมยามดึกโรยตัวเบาบางผ่านหมู่อาคารน้อยใหญ่ บางส่วนของเมืองดูราวจะหลับไหลมีเพียงแสงไฟส่วนน้อยที่เล็ดลอดหยอกล้อกับแสงดาว แสงขาวนวลและแสงเหลืองอ่อนจากซอกซอยในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนั้นก็เช่นกัน เรียงร้อยกันเป็นแนวบอกทางไปสู่บ้านหลังต่างๆ พร้อมกันนั้นมันก็ทำหน้าที่แบ่งแยกบ้านแต่ละหลังออกจากกัน ลำแสงสับสนสายหนึ่งพุ่งลอดผ่านออกจากหน้าต่างบ้านหลังหนึ่ง ผนังทุกด้านของตัวบ้านฉาบด้วยสีขาวหม่น แมกไม้ที่รายรอบบ้านเบียดเสียดกันขนัด ไม่มีวี่แววของสัตว์หรือแมลงอื่นใด

ทันใดที่มือของเขากดปุ่มบนซ้ายของรีโมท โทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่เป็นต้นกำเนิดแสงอันแตกต่างแห่งวิกาลจึงดับลง หากทว่าภาพในหัวและภาพในตายังคงอยู่ ดูราวกับเขาไม่เคยปิดโทรทัศน์มาก่อน เหตุการณ์ต่างๆ ใบหน้าคนหลากหลาย เสียงพูดพร่ำ ระดมโถมทับมาเฉกเช่นกับรายการเกมโชว์ ละครและโฆษณาจากสารพัดช่องต่อเนื่องและไม่มีวี่แววว่าจะหยุด เขากดหัวคิ้วด้วยมือขวา นวดต้นคอด้วยมือซ้าย พยายามจะให้เกิดความผ่อนคลายขึ้นบ้างเผื่อจะได้หลับอย่างน้อยสักสองชั่วโมง ก่อนเวลาเช้าจะมาถึง

"พี่อัฐไม่สบายหรือเปล่าคะ"

เขาส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มให้เจ้าของคำถาม เขาระงับสีหน้าท่าทางอิดโรยไว้โดยเร็ว ฉีกยิ้มอีกครั้งและบอกเธอว่าไม่เป็นไร พักสักหน่อยคงจะดีขึ้น ช่วงนี้งานมากไปหน่อย เธอดูพอใจกับคำตอบ แม้ใบหน้ายังเจือไว้ด้วยความกังวลบางๆ

"กลัวรูปเจ้าบ่าวไม่หล่อเหรอ เจ้าสาวสวยก็พอแล้วน่า"

ไม่ใช่เพราะการถ่ายรูปสตูดิโอไม่เป็นเรื่องนี่หรอก เขาก็รู้ เธอไม่ได้สนใจอยากจะมีภาพงามที่สุดไว้รำลึกถึง อนาคตของทั้งสองต่างหากเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญ

"นี่นิมค่ะ น้องที่ทำงานด้วยกัน"

วันแรกของการรู้จักกันช่างเรียบง่าย งดงาม เธอเห็นประกายตาที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นและมุ่งหวังสิ่งดีแก่ชีวิตและโลกของเขา ประกายอย่างเดียวกันนั้นสะท้อนจากแววตาของเธอด้วยเช่นกัน ความบังเอิญไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ริมทาง ครั้งที่สองในความทรงจำของเธอเขาขับรถคันสีดำแล่นปราดเข้ามาในบริเวณบ้านที่
เพื่อนๆ พี่ๆ ของเธอเรียกมันว่า spiritual hub สายตาของเธอไม่ได้สังเกตเลยว่าในมือของเขามีอะไรอยู่บ้าง มีเพียงใบหน้าและรอยยิ้มของเขาเท่านั้นที่สะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับของเธอ วันนั้น งานจัดแยกของบริจาคส่งไปพื้นที่ประสบภัยที่เคยเหนื่อยเหนอะหนะกลับเป็นงานที่สนุกสดใสราวกับไม่มีวันสิ้นสุด

- - - - - - - - - -

"ขอบคุณนะอัฐ อุตส่าห์หอบของมาช่วย"

"เฮ้ย ไม่เป็นไร พวกนายเหนื่อยกว่าเยอะ"

เขาตอบนอตเพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมอย่างเป็นกันเอง เพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานตั้งแต่จบชั้นมัธยมปลายกลายมาเป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคมก็เมื่ออ่านพบข่าวความช่วยเหลือจังหวัดแถบอันดามันที่ประสบภัย ครั้งแรกที่เขามา เขามาด้วยความตั้งใจจะช่วยและด้วยความบังเอิญ อัฐไม่เชื่อถือการจัดการของรัฐบาล เขาทำมาหากินอยู่กลับมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าข้าราชการและนักการเมืองมามากพอจะตัดสินใจได้ว่า ความช่วยเหลือในฐานะส่วนตัวควรจะฝากผ่านไปยังใคร เงินบริจาคก้อนใหญ่โดยบริษัทที่เขากุมบังเหียนอยู่นั่นต่างหากที่จะต้องดำเนินการผ่านรัฐบาลท่ามกลางไฟแฟลช แสงสปอตไลท์ รายการโทรทัศน์และพื้นที่บนหน้าหนังสือพิมพ์

แต่เพราะเธอ เหตุที่ทำให้เขามาเยือนเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพราะสีผิว รูปหน้า ร่างเพรียวบาง หรือการแต่งกายของเธอที่ดึงดูดให้เขาละสายตาไปไม่ได้ อะไรบางอย่างกระโดดโลดเต้นอยู่ในใจเขา ชักชวนให้หัวใจขยับขึ้นลงตามจังหวะนั้น พลันที่กระแสอบอุ่นแผ่กระจายจากใจไปทั่ว เขาก็ลืมวันลืมเวลาและลืมว่าเขาเป็นใคร

ความบังเอิญที่ริมทางก็เป็นเจตนาจากจังหวะในหัวใจเขาเช่นกัน นักธุรกิจหนุ่มแถวหน้าคนนี้จะไม่มีวันผละจากลูกค้าในวงธุรกิจบนโต๊ะกาแฟมาเป็นอันขาด ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ขณะที่ตัวเลขหลักแสนหลักล้านผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่สาระสำคัญข้อสัญญาข้อตกลงที่ต้องทำร่วมกันกับลูกค้ารายสำคัญถูกร่างขึ้นในหัวคร่าวๆ พลันภาพผ่านกระจกหน้าต่างของร้านบานใหญ่ได้เจิดจ้าสดใสขึ้นจากรอยยิ้มของเธอ เขาจำท่วงท่าการเดินของเธอได้ ไม่เคยลืมใบหน้าระบายยิ้ม แทบจะได้กลิ่นเย็นหอมจากผิวกายนั้น ขาทั้งคู่ของเขาผุดลุกขึ้นและก้าวออกไปนอกร้าน เขาได้ยินเสียงของเขาตะโกนทักตามเงาร่างด้านหลังของเธอ หัวใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ สูญเสียบุคลิกรอบคอบระมัดระวังบนโต๊ะกาแฟเมื่อวินาทีก่อนหน้านั้นไปโดยสิ้นเชิง

อัฐสะบัดหัวติดต่อกันซ้ำๆ หลายครั้ง ราวกับการทำเช่นนั้นจะทำให้เขาลืมภาพในใจ

สุดท้ายของความพยายามอันสูญเปล่าเขายังไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ภาพในช่วงเวลาหกเดือนเลื่อนไหลผ่านไปไวเหมือนสายน้ำเชี่ยวกราก นาทีนี้เขาต้องนั่งนิ่งให้ คนแปลกหน้าละเลงใบหน้าด้วยฝุ่นผง ต้องสวมใส่เสื้อผ้าซึ่งไม่เคยเป็นของเขา และไม่เคยถูกเลือกโดยเขา กล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานไปตามเสียงบอก และหยุดลงทันทีเมื่อสิ้นเสียงชัตเตอร์

- - - - - - - - - -

"อ้าว รู้จักกันมาก่อนแล้วเหรอ แหมดีจังลูก"

คุณแม่ของทั้งสองฝ่ายดูจะดีใจปลาบปลื้มจนออกนอกหน้า ทั้งที่ก่อนหน้ายังมีความกระวนกระวายใจในสีหน้าและน้ำเสียง กริ่งเกรงว่าผู้เป็นบุตรีจะไม่แสดงปฏิกิริยาทางบวกดังคาดหวัง นิมมาร่วมงานเลี้ยงของแม่อย่างเสียไม่ได้ งานที่มีแต่คุณหญิงคุณนายคุยกันด้วยเรื่องเล็กๆ อย่างเพชรหัวแหวน ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างยอดบริจาคผ่านรายการร้องเพลงการกุศล ในความจอมปลอมและแห้งแล้งของห้องโถงหรูหรานั้น เธอพบแสงตะวันอันอบอุ่นและอ่อนโยนสาดต้องฉาบไล้ไปทั่วอณูร่างกาย คุณแม่กึ่งจูงกึ่งลากเธอผู้มีสีหน้าเบื่อโลกเข้าไปพบแนะนำทำความรู้จักกับหญิงชายคู่หนึ่ง และเขาคนนั้นเองผู้เป็นบุตรชายของคุณหญิง เพื่อนสตรีผู้มีศักดิ์ฐานะทัดเทียมกับมารดาของเธอ อัฐ คืออาทิตย์ฉายแสงในคืนวันอันหม่นมัวของนิม

- - - - - - - - - -

"จินตาเขาจะมาไหมคะพี่"

"เอ ไม่รู้สิ แต่น่าจะมางานเลี้ยงตอนเย็นนะนิม"

นอตตอบรุ่นน้องพร้อมสังเกตเห็นต้นหน่ออ่อนเขียวสดที่ชำแรกออกจากเมล็ดแคระแกร็น เขายินดีไม่แพ้พี่ๆ คนอื่นเมื่อรู้ว่าน้องเล็กแห่งบ้านอาสาคนนี้ได้ฟื้นจากอาการบอบช้ำและอ่อนล้าสู่ความสดใสเต็มไปด้วยชีวิตชีวา หยาดน้ำค้างยามเช้านั้นต้องแดดเป็นประกายงดงามก็จริง แต่มันก็กลิ้งไหลผ่านใบสู่ใบ แล้วระเหยหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว จินตาก็เป็นเช่นน้ำค้าง เมล็ดแห่งความหวังที่รอวันบ่มเพาะเริ่มจะเติบโตพลันหยุดชะงักลง นิมหันมาทุ่มเทให้กับงานเพื่อสังคมมากขึ้น มากขึ้น จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันของชีวิตเธอ ไม่เหลือพื้นที่อื่นใดให้เมล็ดพันธุ์นี้ได้ฝังตัวเจริญวัย จวบจนกระทั่งวันนี้

เธอยิ้มรับคำตอบและปรารถนาดีจากใจของรุ่นพี่ที่ฉายชัดในหน้า ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าจะใช้โอกาสนี้บอกแขกผู้ถูกถามถึง บอกเขาว่าเธอขอบคุณเขาเพียงไรที่ได้ให้บทเรียนสู่การเติบโตล่วงสู่วันแห่งความหมายวันนี้ ถ้าหากจินตามาร่วมเป็นประจักษ์พยานในค่ำนี้เขาจะได้รู้ นึกอย่างอิ่มเอมใจแล้วเธอหันกลับไปมองหาเจ้าบ่าวในชุดสูทสากล

- - - - - - - - - -

"อัฐพูดอะไรอย่างนั้น นิมเขารักเธอมากนะ"

ด้วยเสียงคำพูดประโยคนี้ทำให้เธอชะงัก มือที่กำลังจะเคาะลงบนบานประตูห้องของเขาหยุดค้างกลางอากาศ บ้านที่กำลังจะเป็นเรือนหอและถูกประดับประดาด้วยดอกไม้คล้ายถูกสูบเอาอากาศออกไปจนหมดสิ้น เธอหยุดยืนและฟังในร่างกายอันเย็นเฉียบ

"ใช่ คนที่ผมรักคือคุณ ไม่ใช่นิม"

"เราไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกันมากไปกว่าเพื่อน.."

"คุณสนใจแต่งานของคุณมากกว่าจะเห็นความสัมพันธ์ต่างหากล่ะ ผมโง่ที่ปล่อยให้เวลาผ่านไป ไม่สิ ทุกเวลาที่ผมอยู่กับคุณเวลามันหยุดนิ่ง ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ผมรักไม่เคยมีใจให้ผมเลย"

".. อัฐ แต่คุณกำลังจะแต่งงาน"

"ใช่ ผมจะแต่งกับงาน บ้านของผม บ้านของนิม เราจะสานต่ออาณาจักรธุรกิจครอบคลุมไปไกลยิ่งกว่าที่คุณจะนึกถึง"

"คุณประชด .."

"ผมมีเรื่องจะบอกคุณเท่านี้ ขอบคุณที่รับฟัง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รอความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง คุณจะเป็นภาพเขียนแสนงามในใจผมเสมอ"

นิมยืนชาไปทั้งร่าง น้ำตาไหลอาบร่องแก้มชะเอาฝุ่นแป้งเป็นคราบ ชุดเจ้าสาวสีขาวสว่างเปรอะเปื้อนน้ำตาและเครื่องสำอางราวกับมันจะไม่มีวันลบเลือนออกได้แม้จะซักล้างสักกี่ครั้ง ใบหน้าของเขาที่เธอเห็นเวลานี้ แววตาเขาตื่นตะลึง ริมฝีปากที่กำลังจะขยับพูดกลับค้างรอ เลือดฝาดและแสงตะวันเหือดหายไปจากใบหน้าที่เธอหลงใหล และอีกร่างที่ยืนข้างๆ ในชุดสวยเรียบกำลังมองเธออย่างตระหนกตกใจ ฉับพลันที่ทั้งสองจะทำอะไรเพื่อปลุกปลอบใจเธอด้วยสัมผัสหรือคำพูด เรือนร่างของเธอสั่นสะท้าน แต่เสียงที่เอ่ยผ่านริมฝีปากแดงสดนั้นนิ่งชัด

"พี่อัฐอยู่นี่เอง ได้เวลาแล้วนะคะ แขกคงจะทยอยมาแล้ว"

มือที่หุ้มห่อด้วยผ้าลูกไม้ยังไม่คลายออกจากลูกบิดประตู พร้อมเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนปิดประตูบานนั้นลงตลอดกาล

"เร็วๆ ด้วยนะคะพี่อาธี เพื่อนเจ้าสาวก็ต้องรับแขกพร้อมกันะ"

สิ้นเสียงนั้น อาธีมองไม่เห็นภาพอื่นใด นอกจากทะเลมืดมิดเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ขอบฝั่ง ผืนน้ำทะมึนทอดยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด วูบสุดท้ายในห้วงคำนึง เธอหวังเพียงจะเห็นแสงชีวิตแม้ดวงเล็กๆ วาววามระริกไหวที่ชายขอบ

Tuesday, September 26, 2006

chapter 2.. Untitled journey

อาธีซบหน้าลงร้องไห้กับโขดหินใกล้ๆ อย่างอ้างว้าง.. คำถามซ้ำๆ ดูจะเริ่มวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง.. "นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่.. ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ดูเหมือนว่า จะไม่สามารถทำให้อะไรมันดีขึ้นมาได้.."

แล้วมันก็จบลงอย่างนี้.. แม้ว่า เธอ และนอต และเพื่อนร่วมทางอีกหลายคน จะพยายามกันจนสุดตัว.. มันเหมือนมีเสียงเล็กๆ อะไรบางอย่าง กระซิบอยู่ในใจของเธอและเพื่อนๆ ตลอดเวลาว่า.. ยังมีหวังนะ.. เธอมาที่นี่ เพื่อทำบางอย่างให้โลกดีขึ้น.. เธอถูก "ส่ง" มา เพื่อให้โลกนี้ดีขึ้น..

มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ....

อาธีมองร่างไร้วิญญาณของนอตที่อยู่ข้างๆ.. ความตายคืออะไรกันนะ.. ชีวิตของเพื่อนๆ คนแล้วคนเล่า ปลิดปลิวลงเหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นในฤดูแล้ง..

เธอเฝ้ามองดูใบหน้าที่อ่อนโยนของนอต.. เขาเป็นมากกว่าเพื่อน.. ดูเหมือนว่า เธอกับเขา จะเป็นครอบครัวเดียวกันเสียมากกว่า... ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีวันไหน ที่เธอและเขา ไม่ได้พูดคุยกัน แบ่งปันความสุขทุกข์กัน..

อาธีเหม่อมองศพที่ลอยเกลื่อนกลาดอยู่รอบๆ ตัว.. มันเหมือนซากของมดที่ลอยอยู่ในสระขนาดใหญ่ มันมากมาย บนผืนน้ำที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา..

มีเสียงเพลงลอยมาจากที่ไกลแสนไกล.. เป็นเสียงขลุ่ยไม้ไผ่.. อาธีพึมพำชื่อเพลงออกมาเบาๆ.. เพลงโปรดของเธอและเพื่อนๆ.. Somewhere over the rainbow.. ที่สุดปลายสายรุ้งนั้น.. ความฝันที่เธอกล้าฝัน จะเป็นจริงขึ้นมาได้..

ความฝัน ที่ปลายสายรุ้ง..

อาธีนั่งน้ำตาซึม.. มีใครบางคนที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่นอกจากเธอ .. อาธีไม่มีเรือที่จะพายฝ่าซากศพเหล่านี้ออกไปได้..

อันที่จริง เธอไม่มีทั้งน้ำดื่มและอาหารมาหลายชั่วโมงแล้ว..

เธออยากจะตะโกน ให้เขารู้ว่า มีเธออยู่ที่นี่อีกคนหนึ่ง.. แต่เธอเหนื่อยล้า และไม่มีแรงเหลืออยู่มากนัก..

Somewhere, over the rainbow, way up high,
There's a land that I heard of once in a lullaby.
Somewhere, over the rainbow, skies are blue,
And the dreams that you dare to dream will really come true.

มีเสียงระลอกน้ำดังขึ้นไม่ไกลนัก... เสียงพายกระทบน้ำ.. อาธีรีบลุกขึ้นยืน.. มีเรืออยู่ตรงนั้นไม่ไกลนัก.. มันกำลังมุ่งไปที่ไหนสักแห่ง..

เธอตบมือเพื่อเรียกความสนใจจากเจ้าของเรือ.. เรือเล็กลำนั้นหยุดลงชั่วขณะ.. ทุกทิศทาง มีแต่ความนิ่งเงียบ..

แล้วเรือก็เคลื่อนที่ต่อไป เหมือนไม่มีเธออยู่ที่นั่น.. เสียงจังหวะฝีพาย ค่อยๆ เลือนหายห่างออกไป..

เสียงขลุ่ยค่อยๆ แผ่วเบาลงไปด้วย.. จนท้ายที่สุด อาธีได้ยินแต่เสียงลมหายใจตัวเอง.. ที่เตือนให้เธอรู้ว่า เธอยังมีชีวิตอยู่..

----------

ฟ้าเริ่มมืดสลัวลง อาธีเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า เธอเอนกายลงนอนบนโขดหิน

มีเสียงฝีพายใกล้เข้ามาอีกครั้ง แต่เธอรู้สึกอ่อนแรงเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาใส่ใจ

เรือลำนั้น น่าจะเทียบที่โขดหิน.. มีเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นมาจากเรือ..

"เมื่อกี้มีคนอยู่ที่นี่.." มีเสียงคนพูดกันพึมพำ.. "หายไปไหนแล้ว.."

อาธีค่อยๆ ขยับตัว แต่ยังไม่ได้ลุกขึ้นดีนัก

"นั่นไง.. ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า.." แขกผู้มาเยือน เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว รีบเข้ามาดูเธออย่างใกล้ชิด

อาธีขยี้ตาเล็กน้อย.. ทั้งคู่พยายามประคองร่างของเธอขึ้น

"ไปกับเราเถอะ.. มีเรือใหญ่ที่จะพาพวกเราออกไปจากที่นี่.. เราต้องรีบไปกันแล้ว.."

อาธีมองดูร่างนอตอย่างงงๆ .. แต่ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรอีก ทั้งคู่ก็ผลักเธอแกมบังคับ ให้ลงเรือไปอย่างรวดเร็ว

"รีบไปก่อนพระอาทิตย์จะตก.. แล้วเราจะมองไม่เห็นทาง.."
ทั้งคู่ตั้งใจพายเรือโดยไม่ใส่ใจกับเธออีก.. อาธีได้ยินเสียงขลุ่ยแว่วมา และสังเกตเห็นว่า ชายหญิงคู่นั้น พยายามพายเรือมุ่งไปยังเสียงขลุ่ยนั้น.. ไม่นานนัก เสียงขลุ่ยก็ดังชัดเจนขึ้นตามลำดับ จนกระทั่ง เรือมาหยุดที่ยอดอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

"ได้ตัวมาแล้วหรือ"..

คนบนยอดอาคาร ที่มารอรับเรือ ทักทายชายหญิงคู่นั้น..

"อยู่ที่ยอดภูเขาทองแน่ะ.. "

"แล้วไม่มีคนอื่นรอดอีกหรือ.."

"ไม่มีแล้วพี่.. แล้วนี่ เรือใหญ่จะออกกี่โมงดี.."

"น่าจะไปได้เลยนะ.. อยู่ที่นี่กันต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ.. พรุ่งนี้ ศพก็จะส่งกลิ่นกันใหญ่ และเราไม่มีอาหารและน้ำมากพอ.. เราไปคืนนี้ พรุ่งนี้ เรือใหญ่อาจจะกลับมารับใครได้อีก .. "เสียงนั้นหยุดไปชั่วครู่

"ถ้ายังมีใครเหลือรอดนะ.." คำพูดสุดท้ายของเขา ฟังดูเศร้าสร้อยและสิ้นหวัง..

อาธีถูกพยุงไปนั่งยังมุมหนึ่งของยอดตึกนั้น.. มีคนเอาบะหมี่ร้อนๆ มาให้เธอ และมีอีกคน เอาผ้าห่มมาให้..

อาธีค่อยๆ ตักรับประทานอาหารช้า.. สายตาค่อยๆ กวาดดูรอบๆ..

มีคนอยู่ที่นี่ไม่ถึงยี่สิบคน..

นี่แปลว่า คนทั้งกรุงเทพฯ เหลือรอดไม่ถึงยี่สิบคนหรือ..

สุดสายตาของเธอ มีแต่ผืนน้ำ ยอดตึกทั้งหลาย หายไปจากสายตาทั้งหมด แผ่นดินไหวที่รุนแรง ทำให้ตึกส่วนใหญ่ พังทลายลงไป

อาธียกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหู เมื่อคิดถึงเสียงดังสนั่นที่เกิดขึ้นในตอนเช้า.. มันดังยิ่งกว่าเสียงระเบิดเป็นร้อยๆ ลูก..

มีใครสักคนเข้ามาโอบเธอไว้.. "ทานเร็วๆ เถอะ.. เดี๋ยวเรือจะมารับแล้ว.."

----------------

อ้อมแขนนั้น โอบกอดเธอไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ จนอาธีต้องผลักออก..

เธอสะดุ้งสุดตัว..และลืมตาขึ้น..

".. เป็นอะไรไปล่ะ... ฝันร้ายหรือ.."

อาธีกระพริบตาถี่ๆ แสงที่สว่างจ้า ทำให้เธอแสบตา..

"นอต.."

"ฮื่อ.. ก็ผมนี่ล่ะ.. " เขายิ้มให้กับเธอ เป็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนเคย..

"ตื่นซะสาย ยังฝันร้ายอีก.. เฮ้อ.. ลุกขึ้นเถอะ อาธี.. วันนี้ นิมจะแต่งงาน.. เธอต้องแต่งตัวสวยๆ ไปงานนะ.. นิมจะต้องรอเธอแน่ๆ เลย.."

นิม.. อาธีพึมพำกับตัวเอง.. นิมเป็นเหมือนน้องสาวของเธอแท้ๆ "นิมจะแต่งงานวันนี้หรือ.."

"เอ้า..สูญเสียความทรงจำอีก แค่นอนคืนเดียวนี่น่ะนะ.." นอตบ่นอย่างขำๆ "ไปดีกว่า ไปแต่งตัวให้หล่อๆ.. วันนี้ เพื่อนๆ จะมาเยอะมากเลยนะ.. อาธี.. "

อาธีรีบลุกขึ้นเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง.. วันนี้ ฟ้าสวยมาก มีดอกไม้อยู่ในสวนเหมือนเดิม อากาศบริสุทธิ์ ไม่มีผืนน้ำสุดลูกหูลูกตา และไม่มีซากศพสักนิด

นอตหันมามองท่าทีของเธออย่างแปลกใจเล็กน้อย.. "เป็นอะไรอีกแล้ว.. อาธี"..

เธอหันกลับมายิ้มให้เขา...และส่ายหน้า..

"อ้อ.." นอตหันกลับมาบอกอีกครั้งก่อนจะออกจากห้อง.. "มีข่าวแผ่นดินไหวอีกแล้วเมื่อคืนนี้.. หมู่นี้ แทบจะทุกชั่วโมงแล้วนะ.. ไม่รู้ว่า จะเกิดสึนามิอีกหรือเปล่า.. ถ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง เห็นทีเธอจะไม่ได้กลับประเทศของเธอแล้วล่ะ อาธี.. จะต้องอยู่เป็นอาสาสมัครอยู่แถวนี้จนวันตาย.. " นอตหัวเราะเบาๆ แล้วก็เดินออกจากห้องไป

อาธีทรุดตัวลงนั่งบนเตียงช้าๆ พยายามลำดับความรู้สึกและความทรงจำที่เกิดขึ้น..

มันเป็นแค่ฝันร้ายหรือ.. หรือว่า โลกที่เธออยู่ตอนนี้ เป็นความฝันกันแน่..

สึนามิ.. อาธีกุมขมับด้วยความสับสน.. สึนามิที่กรุงเทพฯ หรือ.. อะไรเกิดขึ้นกันแน่ เสียงดังสนั่น แผ่นดินไหว และน้ำท่วมทุกหนแห่งเต็มไปหมด..

เสียงนอตตะโกนเร่งเธออีกครั้ง.. อาธีค่อยๆ ลุกขึ้นแต่งตัว.. เธอรำลึกถึงความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นศพจำนวนมาก

สึนามิที่แถบอันดามันครั้งแรก.. มีคนตายเป็นหมื่น.. ครั้งที่สอง มีคนตายจำนวนใกล้เคียงกัน ทั้งที่มีการเตือนภัยแล้ว.. แต่ว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นใกล้มาก และผู้คนหนีไม่ทัน..

และสึนามิครั้งที่สาม.. ที่ผู้คนเริ่มอพยพออกจากแถบทะเลอันดามัน..

อาธีมาเมืองไทยเพื่อเยี่ยมมารดาของเธอ ซึ่งแยกทางกันกับบิดาตั้งแต่เธอยังเล็ก เธอใช้ชีวิตเป็นคนสองประเทศ สองภาษา มาตั้งแต่จำความได้..

แต่ไม่เคยคิดเลย ว่าจะต้องมาอยู่เมืองไทยต่อเนื่องนานขนาดนี้..

นอตลงไปบีบแตรรถรอเธออยู่ อาธีอดรู้สึกขำไม่ได้.. เขาเป็นคนที่สดใสเสมอ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีจังหวะชีวิตที่เร่งรีบ นับแต่วันที่เธอรู้จักเขา ในช่วงไปทำงานอาสาสมัครครั้งแรก..

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น..

"พี่อาธี.. จะมาถึงหรือยัง.. นิมแต่งงานไม่ได้นะคะ ถ้าไม่มีเพื่อนเจ้าสาวคนนี้.."
เสียงใสๆ ของนิม ดังมาตามสาย.. อาธีถอนใจใหญ่ คงไม่ใช่ความฝันแล้วกระมัง.. เธอรีบคว้ากระเป๋าถือ และวิ่งลงบันไดตามนอตไป

------------

"เร็วๆ เข้าเถอะครับ..ตื่นเถอะคุณ.." อาธีรู้สึกว่า มีคนมาเขย่าร่างของเธอ เขาดึงมือเธอให้ลุกขึ้น และประคองเธอให้เดินไปอย่างรวดเร็ว..

"เรืออยู่ทางฝั่งโน้นของตึก.. เป็นเรือทหาร เหลืออยู่ลำเดียวนี่ล่ะ.. นับว่า เราโชคดีกันมากนะ.. "

ชายผู้นั้น นำทางอาธีไปลงเรือลำนั้น..

ไม่นานนัก ทุกคนที่อยู่บนยอดตึก ก็ลงเรือกันจนหมด เรือลำใหญ่ ค่อยๆ เคลื่อนที่ออกไปจากยอดตึกนั้น.. โดยพ่วงเรือเล็กที่มารับเธอไปด้วย..

ชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน บอกกับทุกคนว่า

"เรามีอาหารและน้ำเหลืออยู่น้อยมาก... คืนนี้ เราจะต้องออกจากที่นี่ให้ได้.. เราจะมุ่งไปทางทิศตะวันออก อาจจะไปขึ้นฝั่งได้ที่สระบุรี หรือปากช่อง.. ไม่รู้ว่า น้ำจะท่วมถึงตรงไหน.. ถ้าน้ำมันของเราหมดก่อน.. เราก็อาจจะต้องส่งคนพายเรือเล็กออกไปหาใครมาช่วย.. ถ้ามีใครเหลืออยู่นะ.. "

ยังมีดาวอยู่บนฟ้า.. อาธีแหงนมองฟ้าด้วยความแปลกใจ.. ยังมีดาวที่สุกใสอยู่บนฟ้าเหมือนเดิม..

นอตเคยชอบดูดาวมาก.. เขามีนิทานหลายเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มดาว.. "เป็นมุขเอาไว้หลอกสาวๆ.." เขาบอก.."ใช้ได้ทุกทีเวลาออกค่าย.. จะดูลายมือ หรือจะดูดาวก็ใช้ได้พอๆ กัน.."

อาธีพยายามรำลึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า.. ดูเหมือนว่า เธอจะลืมตาขึ้น เพราะความรู้สึกว่า บ้านทั้งหลังสั่นไหว..

บ้านที่เป็นทั้งสำนักงานไปด้วยพร้อมๆ กัน.. ที่เธอและเพื่อนๆ พร้อมใจกันเรียกมันว่า "spiritual hub" เพราะแต่ละคน มาพบกันด้วยการทำงานด้านในหลายๆ อย่าง พบเจอกันบ่อย จนต้องแหย่กันว่า น่าจะย้ายบ้านมาอยู่ด้วยกัน และในที่สุด คำเย้าแหย่นั้น ก็เลยต้องกลายเป็นความจริง

"ก็ถ้าจะจากกันเฉพาะเวลาไปนอน เปลี่ยนชุด และอาบน้ำ ก็ย้ายๆ มาอยู่ด้วยกันซะเลยนั่นล่ะดี.. " ทุกคนลงมติกันแบบนั้น

ที่นี่ อาธีปลูกผักด้วย.. มันเป็นบ้านสวนที่อบอุ่น มีทั้งพื้นที่ภายในและภายนอกเพียงพอสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต เป็น "สังฆะ" ที่น่าอยู่

อาธีรำลึกถึงเพื่อนคนอื่นๆ.. เธอมีเพื่อนแปลกๆ มากมายหลายคน..

จินตาเป็นศิลปิน.. เขาชอบวาดรูป.. เขาสื่อสารกับโลกภายนอกด้วยรูปวาดของเขาอยู่ตลอดเวลา..

นิมชอบเขา.. น้องสาวร่วมโลกของเธอ แต่ว่า นิมก็แต่งงานไปกับคนอื่น.. จินตาเขาหลงรักศิลปะ และแต่งงานกับมันไปนานแล้ว..







Sunday, September 24, 2006

๑ จุดเริ่มจุดจบ

.....................

"สภาพการณ์แบบนี้ จะไปได้อีกกี่พันปีกัน เขาจะรู้ตัวกันได้หรือไม่ขอรับท่าน"
"นับวันเขาก็ยิ่งหลงทางกันมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับกระแสน้ำวน ที่ดึงให้ทุกสิ่งไหลลงต่ำ หมุนวนอยู่ในวัฏจักร และวนลงต่ำเรื่อยๆ"
"ท่านจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้หรือขอรับ อีกหน่อยก็ไม่เหลือซิขอรับ เราส่งใครไปช่วยได้หรือไม่ขอรับ"
ถอนหายใจ และเอ่ยขึ้นมาว่า "เราทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก ทุกอย่างเป็นเหตุและผลของมัน... ถ้าจะช่วยได้... กระตุ้น ใช่ กระตุ้นเตือน เราพอจะกระตุ้นเมล็ดพันธ์ุในตัวพวกเขาได้ แต่ถ้าเมล็ดฝ่อ ก็แค่นั้นนะ"
"ขอให้เมล็ดงอกงามขึ้นเถิด..."
"แม้งอกงามบางเมล็ด...ก็อาจจะทำอะไรไม่ได้มาก"

.....................

ความเงียบสงบกับมาเยือนโลกอีกครั้ง ไร้ความไหวติงใดใด มีแต่ความราบคาบ ซากสิ่งต่างๆที่ยากจะบอกเค้าเดิม นี่หรือคือโลกที่เคยฟู่ฟ่า นี่หรือคือโลกของมนุษย์ที่เข้าใจว่าตนจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้

.....................


"เธอก็อยากให้คนทำดีกันมากขึ้นเหมือนกันเหรอ... เริ่มคิดแบบนี้เมื่อไหร่หน่ะ..." อาธีถามนอตด้วยความดีใจ อาธีไม่โดดเดี่ยวแล้ว ตั้งแต่เล็กเธอเคยคิดว่าทำไมเธอถึงคิดอย่างนี้ ผิดปกติหรือเปล่านะ ทำไ็มไม่เคยพบใครที่คิดแบบเดียวกัน เพื่อนส่วนใหญ่ก็อยากมีงานที่ดี มีเงินใช้สบายๆ พอจะพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศได้สักปีละหนสองหน ยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกในใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เดินเคียงคู่ไปกับคนเหล่านั้น จนกระทั่ง...สองสามปีนี้ี้...เธอพบแล้ว เธอพบเพื่อนที่อยากให้คนทำดีเพิ่มขึ้น เธอพบเพื่อนที่อยากให้โลกน่าอยู่ขึ้น เธอพบเพื่อนที่อยากให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น เธอพบเพื่อนที่อยากให้สังคมดีขึ้น ฯลฯ

คนเหล่านี้ได้มาพบกัน ค้นพบซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ยืนยันกัน ว่าเราคงต้องทำอะไรสักอย่าง แม้ว่าจะเป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดากลุ่มหนึ่งที่ก็ยังคงดำผุดดำว่ายอยู่ในกระแสน้ำวน...เหมือนกัน

...................

Saturday, September 23, 2006

The first story


Our first story will begin now..

We, a group of "true friends",met at True coffee shop on Friday, September 22, 2006, for our movie-dialogue sangha as usual.. and the story has begun..

Each of us will have the maximum time of 2 weeks to finish a chapter..

Enjoy the journey together..