๔. เก็บงำในใจ
แสงระเรื่อของไฟสีส้มเย็นตา อาบทาไปบนภาพวาดที่ติดไว้บนฝาผนังอย่างเป็นระเบียบ เงามืดที่สลับคั่นแต่ละภาพ พร้อมกับหลืบชั้นของผนังกั้น สร้างบรรยากาศอันผ่อนคลายไปพร้อมกับความศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ต่างกัน ช่างสมกับเป็นงานแสดงภาพของศิลปินอย่างจินตา ที่ต้องการสื่อให้สังคมรับรู้ถึงความหมายของ Spiritual Hub อันเป็นพื้นที่สร้างความดีร่วมกัน
ย่ำเย็นแล้ว งานแสดงภาพกำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดีอีกวันหนึ่ง ผู้คน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบาสุภาพค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากบรรยากาศของห้องแสดงภาพ หลงเหลือไว้แต่เพียงเงาร่างเพรียวบางของหญิงผู้หนึ่งที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ เบื้องหน้าของเธอคือภาพชาย-หญิงที่แสดงความรักให้แก่กันอย่างอบอุ่น นิมปล่อยสายตาอย่างหลุดลอยไปกับภาพชาย-หญิงคู่นั้น
นิมตั้งใจเลือกช่วงเวลานี้ เดินดูงานของจินตา เพราะว่ามันเป็นช่วงที่ผู้คนต่างกลับกันหมดแล้ว มันเป็นเวลาที่ทำให้เธอได้อยู่กับภาพแต่ละภาพโดยไม่ต้องคำนึงถึงใครๆ บางทีนิมก็รู้สึกว่า เธอน่าจะมีเวลานี้ของเธอบ้าง เวลาที่ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดได้หลั่งไหลออกมาจากที่ซ่อนงำภายในใจ
ภาพชาย-หญิงคู่นั้นติดป้ายชื่อว่า “อุ่นรักตระหนักรู้” ดูเหมือนว่าชื่อของภาพไม่สามารถถ่ายทอดความหมายของมันได้ดั่งเจตนาของผู้วาด น้ำตาแห่งความคำนึงถึงรินหลั่งออกมาแทนความหมายทั้งหมดภายในของนิม ภาพที่ช่างแสนงามแต่กลับเป็นไปไม่ได้
“นิมยังไม่กลับบ้านอีกหรอ”
เสียงของคนที่นิมคุ้นเคยแหวกออกมาจากความเงียบ ทะลุผ่านความเศร้า
“อ้าว จินตา” นิมรีบเช็ดน้ำตาเพื่อไม่ให้เสียงนั้น ได้รับรู้ถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ
“ยังจ๊ะ กะว่าจะดูงานของจินตาอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับจ๊ะ”
แม้ว่านิมจะกลบเกลื่อนคราบน้ำตา แต่จินตาก็รู้สึกได้ในทันทีถึงความเชื่อมโยงระหว่างนิมกับภาพชิ้นนี้ของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะช่วยรองรับความรู้สึกอันโศกเศร้านี้ได้อย่างไร เขารู้แต่เพียงว่าบทสนทนาอะไรก็ได้กระมังที่พานิมออกจากความเสียใจจากงานแต่งที่ล่มลงอย่างไม่มีใครคาดคิด
“ช่วงนี้งานของ Spiritual hub มันยุ่งนะ ทำให้แต่ละคนดูเหนื่อยทั้งนั้นเลย” จินตาเอ่ยแทรกผ่านความโศกเศร้าที่ยังคงหลงค้างอยู่ในบรรยากาศ
“ใช่ แล้วจินตาล่ะ ช่วงนี้งานเยอะมั๊ย”
“ก็ช่วงทำห้องแสดงภาพ ผมก็ทุ่มเทกับมันมากๆเลยนะ ตั้งใจเพื่อที่ว่ามันจะได้เป็นผลงานที่ได้แสดงถึงสิ่งที่พวกเราได้ร่วมทำกันมา ผมก็ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ เนี่ย ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย มาดูนาฬิกาอีกทีมันก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มนึงแล้ว ผมนึกว่าผมจะเดินดูความเรียบร้อยอีกสักนิดนึง แล้วก็ค่อยจะไปกินข้าว แต่ก็เห็นนิมอยู่ตรงนี้ก็เลยเดินเข้ามาทัก”
“จินตายังไม่ได้กินข้าวหรอ ถ้างั้นจินตาก็ไปกินข้าวก่อนดีกว่า นิมว่านิมจะขอตัวกลับก่อน อยากจะบอกกับจินตานะว่า งานที่ทำมามันคุ้มเหนื่อยมากเลย เป็นงานที่ดี และก็เป็นภาพที่มีความหมายให้อะไรกับคนที่มาดูได้เยอะเลย เราจะเป็นกำลังใจให้จินตาได้ทำงานต่อไปนะ ค่ำนี้นิมมีธุระจะต้องไปทำต่อ ถ้ามีอะไรก็โทรมาคุยกันได้นะ นิมขอตัวก่อนนะจินตา”
อันที่จริงเธออยากชวนคุยมากกว่านี้ เสียงของคำถามมากมายเกี่ยวกับความสุขทุกข์ของจินตา ความโดดเดี่ยวของจินตา ความสำเร็จของจินตา แต่ขณะนี้เธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจากจินตา
“เออ... ครับ” จินตาได้แต่ตอบรับการขอตัวกลับของนิมอย่างรวดเร็ว
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศไปทั่ว นิมเดินจากไป จินตายังคงยืนมองที่ภาพวาด “อุ่นรักตระหนักรู้” ของเขา แม้ว่าคำชมเล็กๆน้อยๆของนิมจะทำให้เขาปลื้มปีติ แต่เขากลับผิดหวังตัวเองที่ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนกับความรู้สึกอันโศกเศร้าของนิมได้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรทำตัวอย่างไรในเหตุการณ์นี้ ดูเหมือนว่าความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของเขาจะช่วยอะไรไม่ได้เสียเลย การหลบลี้ไปเพื่อค้นหาตัวตนภายใน อาจนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งการตื่นรู้แก่ตัวเขา แต่แสงสว่างนี้ไม่อาจทอดยาวสู่ใจคนอื่นได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใจของเพื่อนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าในเงาใจ
ย่ำเย็นแล้ว งานแสดงภาพกำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดีอีกวันหนึ่ง ผู้คน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบาสุภาพค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากบรรยากาศของห้องแสดงภาพ หลงเหลือไว้แต่เพียงเงาร่างเพรียวบางของหญิงผู้หนึ่งที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ เบื้องหน้าของเธอคือภาพชาย-หญิงที่แสดงความรักให้แก่กันอย่างอบอุ่น นิมปล่อยสายตาอย่างหลุดลอยไปกับภาพชาย-หญิงคู่นั้น
นิมตั้งใจเลือกช่วงเวลานี้ เดินดูงานของจินตา เพราะว่ามันเป็นช่วงที่ผู้คนต่างกลับกันหมดแล้ว มันเป็นเวลาที่ทำให้เธอได้อยู่กับภาพแต่ละภาพโดยไม่ต้องคำนึงถึงใครๆ บางทีนิมก็รู้สึกว่า เธอน่าจะมีเวลานี้ของเธอบ้าง เวลาที่ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดได้หลั่งไหลออกมาจากที่ซ่อนงำภายในใจ
ภาพชาย-หญิงคู่นั้นติดป้ายชื่อว่า “อุ่นรักตระหนักรู้” ดูเหมือนว่าชื่อของภาพไม่สามารถถ่ายทอดความหมายของมันได้ดั่งเจตนาของผู้วาด น้ำตาแห่งความคำนึงถึงรินหลั่งออกมาแทนความหมายทั้งหมดภายในของนิม ภาพที่ช่างแสนงามแต่กลับเป็นไปไม่ได้
“นิมยังไม่กลับบ้านอีกหรอ”
เสียงของคนที่นิมคุ้นเคยแหวกออกมาจากความเงียบ ทะลุผ่านความเศร้า
“อ้าว จินตา” นิมรีบเช็ดน้ำตาเพื่อไม่ให้เสียงนั้น ได้รับรู้ถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ
“ยังจ๊ะ กะว่าจะดูงานของจินตาอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับจ๊ะ”
แม้ว่านิมจะกลบเกลื่อนคราบน้ำตา แต่จินตาก็รู้สึกได้ในทันทีถึงความเชื่อมโยงระหว่างนิมกับภาพชิ้นนี้ของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะช่วยรองรับความรู้สึกอันโศกเศร้านี้ได้อย่างไร เขารู้แต่เพียงว่าบทสนทนาอะไรก็ได้กระมังที่พานิมออกจากความเสียใจจากงานแต่งที่ล่มลงอย่างไม่มีใครคาดคิด
“ช่วงนี้งานของ Spiritual hub มันยุ่งนะ ทำให้แต่ละคนดูเหนื่อยทั้งนั้นเลย” จินตาเอ่ยแทรกผ่านความโศกเศร้าที่ยังคงหลงค้างอยู่ในบรรยากาศ
“ใช่ แล้วจินตาล่ะ ช่วงนี้งานเยอะมั๊ย”
“ก็ช่วงทำห้องแสดงภาพ ผมก็ทุ่มเทกับมันมากๆเลยนะ ตั้งใจเพื่อที่ว่ามันจะได้เป็นผลงานที่ได้แสดงถึงสิ่งที่พวกเราได้ร่วมทำกันมา ผมก็ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ เนี่ย ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย มาดูนาฬิกาอีกทีมันก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มนึงแล้ว ผมนึกว่าผมจะเดินดูความเรียบร้อยอีกสักนิดนึง แล้วก็ค่อยจะไปกินข้าว แต่ก็เห็นนิมอยู่ตรงนี้ก็เลยเดินเข้ามาทัก”
“จินตายังไม่ได้กินข้าวหรอ ถ้างั้นจินตาก็ไปกินข้าวก่อนดีกว่า นิมว่านิมจะขอตัวกลับก่อน อยากจะบอกกับจินตานะว่า งานที่ทำมามันคุ้มเหนื่อยมากเลย เป็นงานที่ดี และก็เป็นภาพที่มีความหมายให้อะไรกับคนที่มาดูได้เยอะเลย เราจะเป็นกำลังใจให้จินตาได้ทำงานต่อไปนะ ค่ำนี้นิมมีธุระจะต้องไปทำต่อ ถ้ามีอะไรก็โทรมาคุยกันได้นะ นิมขอตัวก่อนนะจินตา”
อันที่จริงเธออยากชวนคุยมากกว่านี้ เสียงของคำถามมากมายเกี่ยวกับความสุขทุกข์ของจินตา ความโดดเดี่ยวของจินตา ความสำเร็จของจินตา แต่ขณะนี้เธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจากจินตา
“เออ... ครับ” จินตาได้แต่ตอบรับการขอตัวกลับของนิมอย่างรวดเร็ว
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศไปทั่ว นิมเดินจากไป จินตายังคงยืนมองที่ภาพวาด “อุ่นรักตระหนักรู้” ของเขา แม้ว่าคำชมเล็กๆน้อยๆของนิมจะทำให้เขาปลื้มปีติ แต่เขากลับผิดหวังตัวเองที่ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนกับความรู้สึกอันโศกเศร้าของนิมได้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรทำตัวอย่างไรในเหตุการณ์นี้ ดูเหมือนว่าความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของเขาจะช่วยอะไรไม่ได้เสียเลย การหลบลี้ไปเพื่อค้นหาตัวตนภายใน อาจนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งการตื่นรู้แก่ตัวเขา แต่แสงสว่างนี้ไม่อาจทอดยาวสู่ใจคนอื่นได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใจของเพื่อนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าในเงาใจ